Tips & News » สาระน่ารู้ » ความสำคัญของดอกยาง ?

ความสำคัญของดอกยาง ?

16 เมษายน 2017
3265   0

 

หน้าที่ของดอกยาง

ดอกยางนั้นมีหน้าที่ เพื่อยึดเกาะถนนและรีดน้ำขณะวิ่งตอนถนนเปียก เพื่อให้หน้ายางสัมพัสพื้นถนนทำให้การเดินทางได้อย่างปลอดภัยไม่ลื่นออกนอกถนน นอกจากนี้ยางยังมีหน้าที่กระจายน้ำหนักให้รถ โดยยางจะทำหน้าที่กระจายแรงทั้งหมดไปยังทิศทางต่างๆ สู่ผิวถนน ยางทุกชนิดจะมีดอกยาง เว้นแต่รถแข่งในสนามแข่งทางเรียบเพราะต้องใช้ความเร็วสูง  พื้นถนนต้องแห้ง ยางประเภทนี้เรียกว่า Slick

ดอกยาง คือส่วนบริเวณบนหน้ายาง และมีหน้าสัมผัสถนนตลอดเวลาที่รถวิ่ง

ร่องยาง คือร่องลึกลงไปจากหน้ายาง หรือร่องที่อยู่ระหว่างยาง

ร่องยางที่ตื้น (ดอกยางหมด) จะทำให้ยางรีดน้ำได้น้อยและลื่นเมื่อเจอสภาพถนนที่เปียกหรือฝนตก เพราะร่องยางมีหน้าที่ไว้รีดน้ำ หากมีร่องยางที่ตื้นน้ำที่แทรกอยู่ระหว่างหน้ายางกับพื้นถนน จะทำให้ผิวสัมพัสหน้ายางกับพื้นถนนลดลง จึงทำให้ขณะที่รถวิ่งเกิดอาการลื่นไถล แต่ถ้าวิ่งในถนนที่แห้งและแดดจัด จะวิ่งได้ดีกว่าเพราะยางมีหน้าสัมผัสพื้นถนนมากกว่า ดอกยางที่ดีควรลึกไม่น้อยกว่า 3 มม. ซึ่งขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำบนผิวถนนและความเร็วของรถด้วยส่วนอายุของยางไม่ควรเกิน 5 ปี นับจากวันผลิต หากครบหรือเกินควรรีบเปลี่ยนทันที

ยางรถยนต์ที่ใช้บนถนนที่เรียบ

ดอกยางควรเป็นดอกละเอียด ร่องยางไม่ห่าง เพื่อไม่ให้เสียผิวสัมผัสกับหน้าถนนมากจนเกินไป และยังสามารถรีดน้ำออกได้เร็ว ไม่มีเสียงรบกวน

ยางรถยนต์ที่ใช้งานออฟโรด

ดอกยางควรมีดอกยางที่ใหญ่และมีร่องยางห่าง เพื่อเน้นสลัดโคลน หิน หรือน้ำ หากใช้ดอกละเอียด เศษโคลนหรือหิน กรวดอาจเข้าไปติดตามดอกและร่องยาง จนหน้ายางลื่น และถ้านำดอกยางที่ใหญ่มาใช้ทางเรียบ ร่องยางที่ห่างทำให้ผิวสัมผัสน้อย การยึดเกาะถนนก็น้อยตามไปด้วยและในช่วงที่ใช้ความเร็วสูงจะมีเสียงดัง

ยางรถยนต์ที่ใช้งานสำหรับเส้นทางกึ่งลุย กึ่งเรียบ

สำหรับยางประเถทนี้ เมื่อนำไปใช้บนทางเรียบ การยึดเกาะดีระดับหนึ่งและมีเสียงรบกวนอยู่บ้าง ในขณะที่นำไปใช้บนเส้นทางสมบุกสมบัน เช่น ทางลูกรัง หิน กรวด ทราย ก็ใช้งานได้ดี

 

ประเภทของดอกยาง แบ่งออกเป็น 4 ประเภท

 

 

 

 

 

ดอกบางแบบละเอียด (rib pattern)

มีดอกยางและร่องย่างเป็นแนวแถวเส้นรอบวงของยาง และมีรูแบบเรียงตัวของร่องยาง ตามการออกแบบของบริษัทผู้ผลิต โดยทั่วไปแล้ว เน้นให้ยางใช้งานได้ดีในสภาพถนนเรียบ

 

 

ดอกยางแบบบั้ง (lug pattern)

ดอกยางและร่องยางเป็นแนวขวาง กับเส้นรอบวงของยาง ซึ่งการออกแบบยางเช่นนี้ต้องการประสิทธิ์ภาพในการตะกุย อีกทั้งร่องยางทีความลึก ทำให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เหมาะสำหรับใช้งานบนถนนที่ขรุขระ และทางเรียบในความเร็วต่ำ และปานกลาง

ดอกยางแบบผสม (rib lug pattern)

เป็นการผสมจุดเด่นของยางทั้งสองแบบ โดยดอกละเอียดจะอยุ่ตรงกลางโดยมีดอกบั้งอยู่รอบนอกทั้งสองด้าน

ดอกยางแบบบล๊อค (block pattern)

ดอกยางประเภทนี้มีลักษณะเป็นจุด หรือก้อน อาจมีรูปทรงแบบวงกลม หรือเหลี่ยมก็ได้ ให้แรงตะกุยสูง เหมาะสำหรับใช้งานแบบออฟโรดทั้งลุย โคลนและทราย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

นอกจากนี้ดอกยางรถยนต์ยังแบ่งตามลักษณะของดอกยางได้อีก 3 ลักษณะคือ

  1. ดอกแบบ 2 ทิศทาง ดอกยางประเภทนี้จะสามารถทำการสลับยางได้ทุกตำแหน่ง ลักษณะดอกยางสวนทางกัน จึงไม่เน้นในเรื่องความเร็วสูงมากนัก แต่ก็ใช้ได้อย่างสะดวกสบาย
  2. ดอกแบบทิศทางเดียวกัน ยางมีลักษณะเป็นไปทิศทางเดียวกัน ยังมีสัญลักษณ์ลูกศร บริเวณแก้มยาง เพื่อบอกตำแหน่งของทิศทางของการหมุนล้อให้เราสามารถใส่ได้ถูกต้อง ดอกยางประเภทนี้สามารถรีดน้ำได้ดีกว่า แบบ 2 ทิศทาง เพื่อควบคุมการขับขี่ได้อย่างมั่นคงและสามารถใช้ความเร็วสูงได้ดี
  3. ดอกยางแบบไม่สมมาตรกัน ลายดอกยางด้านในและด้านนอกจะมีความแตกต่างกัน เกิดจากการออกแบบให้หน้ายางด้านในเกิดประสิทธิภาพสูงสุดในการขับขี่ทางตรง และทำความเร็วสูง ขณะที่หน้ายางด้านนอกจะทำหน้าที่ยึดเกาะถนนบนทางโค้งให้ดียิ่งขึ้น ยางประเภทนี้เหมาะสำหรับขับในเมืองที่มีโค้งเยอะๆ

ก็เป็นอีกหนึ่งบทความที่จะทำให้เราตัดสินใจว่าจะซื้อยางประเภทไหนมาใช้ให้เหมาะกับรถยนต์ของเรา ถ้าแนะนำยางมือสอง หรือยางเปอร์เซ็น ทางทีมงานไม่แน่นำให้ใช้ควรเปลี่ยนยางใหม่เพื่อความปลอดภัย

Tips&Trick By ทีมงาน กฤษฎากู๊ดคาร์ สาระดีๆ ที่ทางเราอยากบอกต่อ